3 สุดยอดวิธี เปลี่ยนคุณให้กลายเป็นคนคิดบวก
โดยสิ่งที่ยากที่สุดในกระบวนการคิดบวกคือ สมองของคนเรามักโฟกัสไปยังปัญหาตรงหน้ามากกว่าจะโฟกัสไปที่ภาพรวม ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เรื่องเล็กๆที่แก้ไขได้ง่ายดายกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ และยังไปรบกวนประสิทธิภาพในการตัดสินใจของคุณอีกด้วย สิ่งนี้ถูกเรียกว่า ความคิดเชิงลบ
ความคิดเชิงลบ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นกลไกในการเอาตัวรอด โดยใช้ความกลัวเป็นหลัก แต่หากคนๆนั้นมีความคิดเชิงลบมากๆเข้า จะทำให้กลายเป็นคนไม่กล้าเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ที่แย่กว่านั้นคือมันอาจทำให้คุณพลาดโอกาสดีๆมากมายในชีวิต
ความคิดบวกเป็นเรื่องของกลไกสมองที่คุณสามารถฝึกได้ ซึ่งคุณต้องตั้งใจในการทำอย่างสม่ำเสมอจนติดเป็นนิสัย เรามาดูผลการวิจัยกันบ้างว่าการคิดบวกมีผลดีต่อชีวิตของคุณอย่างไร
การคิดบวกทำให้สุขภาพแข็งแรง
รู้หรือไม่ว่าการมองโลกในแง่ร้ายหรือการคิดลบนั้นมีผลกับสุขภาพของคุณโดยตรง พิสูจน์ได้จากการวิจัยของ Martin Seligman แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ได้ทำการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นคนวัย 25 – 65 ปี พบว่าการเป็นคนมองโลกในแง่ลบจะทำให้คนเหล่านี้มีโอกาสที่ร่างกายจะทรุดโทรมกว่าคนที่มองโลกในแง่บวกหรือคิดบวกอย่างเห็นได้ชัด
หรือในอีกกรณีหนึ่งคือ พิสูจน์จากผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยเคนทักกี้ที่ทำการทดลองกลุ่มตัวอย่างโดยการฉีดไวรัสเพื่อวัดระดับภูมิคุ้มกัน พบว่าอาสาสมัครที่เป็นกลุ่มมองโลกในแง่ดีมีภูมิคุ้มกันต่อโรคสูงกว่า
การคิดบวกมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของคุณ
การรักษาความคิดบวกนอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว จากผลการวิจัยของ Martin Seligman พบว่าเซลล์ขายประกันที่มีแนวคิดเชิงบวกนั้นมีอัตราการขายประกันได้ดีกว่าถึง 37 % และมีอัตราการลาออกน้อยกว่าอีกกลุ่มถึงสองเท่า ซึ่งบ่งชี้ว่าเขาเหล่านี้มีความสุขมากกว่า
จากเหตุผลข้างต้นนี้เริ่มเห็นข้อดีของการมีแนวคิดเชิงบวกกันบ้างแล้วใช่ไหม ขั้นตอนต่อไปเรามาดู 3 วิธีที่ในการปลุกความคิดเชิงบวกให้เกิดขึ้นในตัวคุณกันครับ
- แยกข้อเท็จจริงออกจากความเชื่อ
ก้าวแรกที่สำคัญคือการเรียนรู้ในการโฟกัสไปที่การหยุดความคิดเชิงลบจากตัวคุณ ความคิดเชิงลบนี้มีส่วนในการรบกวนการตัดสินใจของคุณเป็นอย่างมาก เมื่อคุณพบว่าตัวเองกำลังมีความคิดเชิงลบหรือกำลังมองโลกในแง่ร้ายอยู่ ให้เตือนตัวเองว่าถึงเวลาแล้วที่จะหยุดการคิดแบบนี้และจดมันลงไป เช่น หากคุณกำลังตัดสินใจลงทุนทำอะไรซักอย่าง ถ้าคุณกำลังมองโลกในแง่ร้าย สมองของคุณจะคิดถึงความกลัวนานับประการ กลัวการล้มเหลวเอย กลัวถูกโกงเอย กลัวการตัดสินใจผิดพลาดเอย ให้คุณจดลงไปแล้วหาคำตอบว่าความกลัวของคุณนั้นมีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด
การจดนี้จะช่วยทำให้คุณแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงกับอาการกลัวไปเองที่เกิดจากความเชื่อผิดๆ ออกจากกันและจะช่วยทำให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ค้นหาความคิดเชิงบวกในตัวคุณ
คุณจะเริ่มรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้นหลังจากฝึกฝนมาซักระยะ มาถึงขั้นตอนต่อไป ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนการปรับวิธีคิดของสมอง โดยทุกครั้งที่คุณเริ่มรู้สึกแย่ ให้คุณเตือนตัวเองแล้วลองจินตนาการถึงเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในวันนั้น อะไรก็ได้ซักอย่างหนึ่ง หากคุณรู้สึกดีขึ้นแสดงว่าสมองของคุณเริ่มคุ้นเคยกับการคิดเชิงบวกแล้ว แต่หากเรื่องราวนี้ไม่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นเลยให้คุณลองจินตนาการถึงเรื่องราวดีๆ ย้อนกลับไปยังวันก่อนๆ จนพบเรื่องราวที่ทำให้คุณมีความสุขได้
จุดประสงค์ในการทำเช่นนี้เพื่อให้คุณรู้ว่า หากคุณกำลังมีความคิดเป็นลบแล้วอย่าจมอยู่กับมัน คุณจะต้องคิดถึงเรื่องดีๆ เพื่อดึงสติของคุณกลับมา ขั้นแรกเพื่อหยุดความคิดเป็นลบที่กำลังเข้ามาบดบังการตัดสินใจของคุณ ขั้นที่สองเพื่อแทนที่ความคิดด้านลบด้วยความคิดด้านบวก หากคุณปฏิบัติแล้วยังรู้สึกยากเย็นก็สามารถใช้เทคนิคนี้ควบคู่ไปกับเทคนิคการจดความคิดเป็นลบ หากคุณปฏิบัติจนชำนาญ สมองของคุณก็พร้อมเปิดรับสิ่งต่างๆอย่างไม่ลำเอียง
- ปลูกฝังความคิดที่ทำให้คุณพอใจในสิ่งที่มี
ขั้นตอนนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดในวิธีการคิดเชิงบวก เริ่มจากให้คุณลองใช้เวลาไตร่ตรองว่าอะไรบ้างในชีวิตของคุณที่ทำให้คุณรู้สึกพึงพอใจ หรือเรื่องที่ทำให้รู้สึกภูมิใจในตนเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่า ความรู้สึกพอใจในสิ่งที่มีจะช่วยลดปริมาณฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งมีผลต่อความเครียดลงถึง 23% คุณสามารถสร้างความรู้สึกพอใจในสิ่งที่มีโดยการโฟกัสไปที่ความคิดเชิงบวกของคุณ ทุกครั้งที่สมองของคุณเริ่มต่อต้าน ให้คุณใช้สิ่งนี้เพื่อรักษาความคิดเชิงบวกของคุณไว้
นำทุกอย่างมารวมกัน
ถึงแม้ว่าเคล็ดลับทั้งสามข้อนี้จะเป็นเหมือนเรื่องพื้นๆที่ใครๆ ต่างบอกคุณอยู่เสมอ แต่การฝึกฝนให้มีความคิดเชิงบวกนี้จะช่วยทำให้คุณมองเห็นความเป็นไปได้ในทุกโอกาสซึ่งมันจะช่วยให้คุณสามารถสร้างผลงานยิ่งใหญ่อีกมากมายด้วยการเปลี่ยนความคิดนี้
ที่มา marketingthai